มีคนเคยบอกกับข้าพเจ้าว่า การที่คนเราจะเข้าใจในงานศิลปะ การเข้าใจในบริบท(Context)ของการสร้างชิ้นงานเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราเข้าใจมันอย่างถ่องแท้
ย้อนกลับไปในช่วงปี 2019 ในขณะที่ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในประเทศเกาะ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสในการไปเยือน Tate ที่ London
ในขณะเดินวนเวียนอยู่ใน Tate นั้น สายตาข้าพเจ้าก็ไปหยุดอยู่ตรงรูปถ่ายเรียบง่ายของชายแต่งตัวเป็นหญิง
รูปถ่ายขาว-ดำทั่วไป มันน่าสนใจอย่างไร
แต่เพียงแค่ข้าพเจ้าได้หยุดและเข้าไปอ่านคำอธิบายเท่านั้นแหละ
"It's so interesting!"
ภาพถ่ายอันเรียบง่ายจนอดสงสัยและต้องเดินเข้าไปอ่าน ชิ้นที่ว่าคือผลงานของ Ma Liuming ศิลปินชายชาวจีน
Ma Liuming เริ่มผลิตงานครั้งแรกในช่วงปี 1990s โดยทำงานร่วมกับศิลปินกลุ่มหนึ่งที่ชื่อว่า Dongcun artists ที่เน้นทำงานเกี่ยวกับ modern performance art
ในช่วงแรกของชีวิตศิลปินของ Ma นั้น Ma มุ่งเน้นค้นหาขอบเขตระหว่าง Gender เป็นสำคัญ
และหนึ่งในงานของ Ma ในปี 1993 นั้นมีจุดมุ่งหมายคือการตรวจสอบขอบเขตของ “เพศสภาพ(Gender Boudary)” ในสังคมแบบเข้มงวดแบบของจีนในปี 1990
ตรวจสอบความคลุมเครือของความแตกต่างทางเพศและอัตลักษณ์ ที่ต้องเผชิญหน้ากับความไม่เท่าเทียมและข้อจำกัดทางสังคมและอำนาจทางการเมือง
'Ma เลือกแต่งหน้าด้วยสิ่งประทินโฉมแบบผู้หญิงและแสดงลักษณะท่าทางที่อ่อนแอ(ของผู้หญิง)บนร่างกายแบบผู้ชาย'
โดยงานชิ้นนี้นั้นมีชื่อว่า ‘Fen Ma Liuming’ ที่เป็นการทำงานร่วมกับศิลปินชาวจีนอีกคนที่ชื่อว่า Xu Zhiwei
โดยในงานชิ้นนี้ Ma จะรับบทเป็น Fen-Ma ที่เป็นตัวแทนของ Ma ในเวอร์ชั่นผู้หญิง


ความเท่าเทียมทางอำนาจในการเมืองและสังคมของผู้หญิงในจีนในยุค 1990s
Fen-Ma


ในปีถัดมาคือปี 1994 แนวคิดของงาน ‘Fen-Ma’ ได้ถูกพัฒนาให้แหลมคมมากขึ้นและเขาก็ได้แสดงงานอีกครั้งในบ้านส่วนตัวของเขาที่ Beijing East Village
โดยในครั้งนี้นอกเหนือจากเส้นแบ่งของชายหญิงที่เป็นเพียงเสื้อผ้าและเครื่องสำอางค์ Ma มุ่งเน้นไปที่การเชื่อมโยงของ Gender ให้เป็นหนึ่งเดียว
ผ่านการถ่ายทอดประสบการณ์โชว์ที่ปราศจากเสื้อผ้าในสวนส่วนตัว Ma แสดงการปรุงอาหารอย่างเงียบๆ ในบ่ายวันหนึ่งท่ามกลางกลุ่มผู้เข้าชมการแสดง*
อย่างไรก็ดีภายหลังมื้ออาหารที่ Ma ได้แสดงไปนั้น Ma ก็ได้แสดงโชว์ต่อเนื่อง โดยที่เขานั้นได้ใช้ท่อซัก(ท่อจากเครื่องซักผ้า) เสียบครอบไปที่ลึงก์ต่อเข้าไปกับปากเขาเอง
โดยการกระทำนี้เป็นสัญญาที่แสดงถึงความหมายของการแลกเปลี่ยน หยินและหยาง(Qi of Ying and Yang) ภายในร่างกาย
Note:
*ความเห็นส่วนตัวมองว่า การแสดงโชว์ว่าด้วยการทำอาหาร ส่วนหนึ่งคือการ represent ความเป็นเพศหญิงแบบจารีตนิยมที่มองว่าผู้หญิงจำเป็นต้องดูแลภายในบ้านและงานเข้าครัวก็เป็นงานหลักที่ผู้หญิงในสังคมจีนยุคนั้นพึงกระทำ
**NPC - the National People’s Congress
***CPPCC - the Chinese People’s Political Consultant Conference




ในปีต่อมา Fen-Ma การหาขอบเขตก็ถูกแสดงอีกครั้งโดยยังคงรักษาแนวทางในชุดที่เปลือยเปล่าเช่นเคยแต่ในครั้งนี้งานนำเสนอถูกถ่ายทอดโดยการแสดงโดยมีทิวทัศน์ภายหลังเป็นภูมิทัศน์ของชนบทใน Beijing East Village โดยมีการเคลื่อนไหวที่เป็นอิสระจาก Ma เป็นตัวดำเนินเรื่องราว


ในส่วนตัวของข้าพเจ้านั้น งานของ Ma Liuming เตะสมองข้าพเจ้าเข้าอย่างจัง Ma นำความคิดข้าพเจ้าไปไกลถึงการตั้งคำถามที่สำคัญที่ว่า
“ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศสภาพในจีนเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และสิ่งใดคือปัจจัยที่นำพาไปสู่ความไม่เท่าเทียม(Gender inequality)”
หากมีสมมุติฐานที่ว่า รากฐานของสังคมแบบ Marxist มุ่งเน้นไปที่การเท่าเทียมกันทางสังคม (Social equality)
เหตุใดสังคมจีนสมัยใหม่ที่มีรากฐานจากความคิดดังกล่าวถึงขาดความเท่าเทียมกันทางเพศสภาพ
อ้างอิงจาก From Men-Women Equality to Gender Equality: The Zigzag Road of Women's Political Participation in China ของ Min Donchao (2011)
ระบุไว้ว่าภายหลังจาก Socialist revolutionary movement ในจีนในช่วง 1950s ความเข้มแข็งของแนวความคิดความเท่าเทียมกันทางเพศในจีนมีความเข้มแข็งมาก
แม้กระทั่งในปี 1954 ศาลแห่งรัฐมีคำประกาศว่า "ผู้หญิงในจีนนั้นมีความเท่าเทียมเฉกเช่นผู้ชายในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคม หรือแม้แต่ครอบครัว"
เช่นเดียวกันกับคำประกาศของ Mao ที่กล่าวว่า “สิ่งใดที่ชายทำได้ หญิงก็ต้องทำได้”
และจากข้อมูลในงานวิจัยชิ้นนี้ก็ระบุไว้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว 70% ของหมู่บ้านในชนบทในจีนจะมีหัวหน้าหมู่บ้านที่เป็นผู้หญิงอย่างน้อย 1 คน
ซึ่งนั่นหมายถึงว่าผู้หญิงจะมีส่วนร่วมในการเข้าร่วมการประชุมของ NPC** และ CPPCC***


อย่างไรก็ตามแม้ว่าตลอด 30 ปี (ระหว่าง 1950s-late 1970s) แนวความคิดเรื่องความเท่าเทียมกันในสังคมจีนจะถูกวางรากฐานโดยอุดมการณ์แบบ Marxism
แต่ความไม่ชัดเจนในหลายแง่และความไม่หนักแน่นก็ทำให้ความสัมพันธ์และสิทธิ(rights)ของผู้หญิงถูกลดทอนลงภายหลัง economic reform ในปี 1978
กรอบทางสังคมถูกยกออกและมาพร้อมกับการพัฒนา แนวความคิดทั้งในด้านของสังคม การเมืองและโครงสร้างทางอุดมคติต่างๆ ถูกแทนที่ด้วยการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ
เช่นเดียวกันกับแนวความคิดความเท่าเทียมกันก็ถูกลดทอนความสำคัญลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ผู้หญิงกลับถูกจัดให้อยู่เป็นแรงงานทางด้านเศรษฐกิจ
มากกว่าการเป็นส่วนหนึ่งในระบบของการเมือง รวมถึงการเป็น sexual objects ในหลายๆด้าน(ด้านการบริการหรือด้านต่างๆ) ก็ทวีคูณลดความสำคัญของผู้หญิงในบทบาทของรัฐ
ตลอด 30 ปีของการพัฒนา equality ในสังคม แม้การต่อสู้ดังกล่าวจะปลุกให้สังคมมีแนวคิดการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่สร้าง self-awaness ของผู้หญิงได้บ้าง
แต่โดยภาพใหญ่การเคลื่อนไหวในความคิดนี้ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐและสังคมโดยรวมสักเท่าไหร่นนัก ซึ่งก็ทำให้แนวคิด gender equality เข้าสู่ ‘Dark age’
อย่างไรก็ตามในช่วงหลัง 1990s แนวความคิดความเท่าเทียมและอำนาจของผู้หญิงในสังคมได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง
มีกลุ่ม NGOs และนักเคลื่อนไหวมากมายกำเนิดขึ้นเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมกันของผู้หญิงในสังคม
ท้ายที่สุดแล้วหากจะพิจารณาแรงกระทบและขอบเขตของชิ้นงานของ Ma ที่ตั้งคำถามถึงอำนาจของเพศสภาพในจีนในช่วงปี 1990s
ก็ปฎิเสธไม่ได้เลยว่างานของ Ma สร้างคำถามและกระตุ้นให้คิดถึงอำนาจ และการสูญหายของผู้หญิงในช่วงเวลาหนึ่งได้รุนแรงเลยทีเดียว
เพื่อนชาวเอกวาดอร์ที่ไปด้วยถามเราว่า ทำไมถึงยืนดูงานนี้นานจัง
ข้าพเจ้าไม่แน่ใจนักว่าจะต้องตอบเพื่อนชาวเอกวาดอร์คนนี้อย่างไร
แต่หลังจากอ่านงานวิจัยของ Min Donchao จบ ข้าพเจ้าจึงได้พบว่า งานของ Ma นั้นน่าสนใจและท้าทายสังคมได้อย่างแยบคาย
Copyright by Natthaphan Sukonthaphan